วิธีการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ

Last updated: 19 พ.ย. 2564  |  668 จำนวนผู้เข้าชม  | 

วิธีการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ

มีหลักในการพิจารณาก่อนที่เลือกซื้อดังนี้

 1. ขนาดเครื่องกับขนาดห้อง

การเลือกเครื่องฟอกอากาศนั้นอันดับแรก ต้องเลือกขนาดเครื่องให้เหมาะกับขนาดห้องที่จะใช้ เพราะถ้าเครื่องมีขนาดเล็กเกินไป ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะลดลง และ ไม่ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่าปกติจึงจะฟอกอากาศได้หมด หรือ อาจจะฟอกได้ไม่ทั่วทุกพื้นที่ครับ  ดังนั้นควรเลือกขนาดของเครื่องฟอกอากาศให้มากกว่าขนาดห้องประมาณ 5-10 ตารางเมตร ก็จะดีครับ  (หลักการคล้ายกับการเลือกซื้อแอร์ปรับอากาศ)

2.  แผ่นกรองอากาศ

เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญของเครื่องฟอกอากาศ เรียกว่าเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องฟอกอากาศเลยก็ว่าได้ เนื่องด้วย แผ่นกรองอากาศทำหน้าทีดักจับฝุ่นละอองในอากาศมาเก็บไว้ แล้วปล่อยอากาศดีออกไป ดังนั้น ควรเลือกแผ่นกรอง HEPA ที่มีตัวเลขสูงไว้ก่อน เพราะตัวเลขยิ่งสูงหมายความว่าสามารถกรอง ฝุ่นละออง หรือ อนุภาค ที่เล็กๆได้มากขึ้น โดยทั่วไปควรเลือกแผ่นกรอง HEPA 12 , HEPA 13 ขึ้นไปจะทำให้สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ดี (สามารถดูบทความ เรื่องแผ่นกรอง ได้ที่หน้าบทความเรื่อง “แผ่นกรอง HEPA คืออะไร?”

 ปัจจุบันมีแผ่นกรองชนิดพิเศษที่ไม่ใช่แค่กักเก็บฝุ่นละอองได้เพียงอย่างเดียว ยังสามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ร่วมถึงเชื้อไวรัสที่ลอยอยู่ในอากาศได้อีกด้วย เช่น แผ่นกรองไฟฟ้าสถิต ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวนานเป็นปี และ สามารถถอดล้างน้ำได้ หรือ แผ่นกรองที่เคลือบสารฆ่าเชื้อโรคเอาไว้ แต่อายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน เพราะสารเคลือบจะเริ่มเสื่อมตามอายุการใช้งานและไม่สามารถถอดมาล้างทำความสะอาดได้

3.  แผ่นกรองคาร์บอน

 ใช้ในการช่วยดูดซับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆในอากาศ มีหลายชนิดส่วนใหญ่จะเป็นแบบรังผึ้งที่มีลูกบอลคาร์บอน หรือแท่งคาร์บอนเล็กๆอยู่ภายใน เมื่อมีอากาศไหลผ่านลูกบอลคาร์บอน หรือแท่งคาร์บอนเล็กๆจะลอยขึ้น เพื่อดูดซับกลิ่นต่างๆในอากาศ ก่อนปล่อยอากาศผ่านไป (การทำงานเหมือนกับแท่งคาร์บอนในเครื่องกรองน้ำ) โดยทั่วไปแผ่นกรองคาร์บอนต้องเปลี่ยน ทุก 6 – 10 เดือน ครับ หรือเร็วกว่านั้น หากใช้ในพื้นที่ ที่มีการทำอาหารร่วมด้วย

4.  ระบบกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสในอากาศ

ปัจจุบันการกรองอากาศ โดยการดักจับฝุ่นละออง หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ในอากาศ ไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะในอากาศนั้น มีเชื้อโรค แบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ต่างๆ ลอยปะปนอยู่ในอากาศอีกด้วย การดักจับแล้วเก็บไว้ในแผ่นกรองอากาศ ก็จะทำให้แผ่นกรองอากาศกลายเป็นที่สะสมของเชื้อโรคต่างๆ หรือ เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้อีกด้วย โดยเฉพาะเชื้อไวรัสที่ออกมาจากการ ไอ จาม ต่างๆ  ปัจจุบันจึงมีการนำเทคโนโลยีต่างๆในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อไวรัสในอากาศมาใส่ไว้ในเครื่องฟอกอากาศ เทคโนโลยีเหล่านั้นได้แก่ การใช้ก๊าซโอโซน , การปล่อยประจุไฟฟ้าลบ/ไอออนลบ/พลาสม่า (แล้วแต่จะตั้งชื่อเรียกกันไป) และสุดท้ายที่นิยมใช้ในทางการแพทย์ คือ การฉายแสง UVC เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย และเชื้อไวรัสที่ปะปนมากับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

5. ค่า CADR

หรือ ค่าประสิทธิภาพในการฟอกอากาศนั่นเอง ซึ่งเกิดจากแรงลมของพัดลมในเครื่องฟอกอากาศในแต่ละรุ่น ถ้ามีค่ามากก็จะช่วยกำจัดฝุ่นในห้องได้เร็วขึ้น (คลายกับประสิทธิภาพในการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ หรือ แอร์ที่เราใช้กันอยู่ครับ)

6. ความเงียบ

เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญ ยิ่งต้องใช้ในห้องนอนแล้วด้วย ยิ่งเงียบ ยิ่งดี และไม่ควรมีแสงสว่างจากเครื่องมารบกวนสายตาเวลาปิดไฟนอนครับ

7. การตั้งเวลา ปิด - เปิด ได้

เป็นฟังชั่นเสริมที่ควรมีครับเพราะเราสามารถกำหนดให้เครื่องทำการฟอกอากาศในระหว่างที่เราหลับและหยุดทำงานเองได้ หรือ ตั้งเวลาเปิดไว้ล่วงหน้าก่อนที่เราจะกลับมาถึงห้องนอน ปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ๆสามารถสั่งการทำงานผ่านมือถือได้แล้ว ยิ่งรุ่นที่มีรีโมทควบคุมระยะไกลได้ด้วยก็ยิ่งทำให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้นครับ

8. อะไหล่และการรับประกันหลังการขาย

ผู้ซื้อควรเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศจากบริษัทฯที่มีการให้บริการหลังการขาย หรือ บริษัทฯที่น่าเชื่อถือ เพื่อที่จะได้รับการบริการต่างๆ หากมีข้อสงสัยในการใช้งาน ก็มีทีมช่างคอยดูแล หรือสินค้ามีปัญหาก็สามารถเคลมสินค้าได้ เพื่อความสบายใจในการใช้งาน

=======================================

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้